วิธีใช้ยาเหน็บช่องคลอด
ยาเหน็บช่องคลอดเป็นตัวยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่เพื่อรักษาโรค และอาการบางอย่างในสตรี รูปลักษณะของยามีหลายแบบ วิธีการใช้อาจมีความแตกต่างกัน มีทั้งแบบเม็ดรีแบน หรือลักษณะมน กลม เวลาเหน็บ ควรจุ่มน้ำให้ชุ่มก่อนประมาณ 1 - 2 วินาที เพื่อมิให้เกิดการระคายเคือง
ยาเหน็บช่องคลอด ควรใช้เป็นครั้งคราว เมื่อมีความจำเป็นต้องรักษาโรคหรืออาการเท่านั้น เพราะโดยปกติ ภายในช่องคลอดจะมี แบคทีเรียชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอาศัยอยู่ การใช้ยาเหน็บเหล่านี้บ่อย ๆ จะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ตาย และเชื้อราจะเข้ามาเจริญเติบโตแทน ซึ่งทำให้เกิดโทษต่อร่างกายได้
ก. วิธีสอดยาเหน็บช่องคลอดโดยใช้มือ
ข้อแนะนำวิธีการใช้
1. ล้างมือให้สะอาด
2. แกะกระดาษที่ห่อยาออก แล้วจุ่มเม็ดยาในน้ำสะอาดพอให้ยาชื้น (ประมาณ 1-2 วินาที) เพื่อช่วยลดการระคายเคือง
3. นอนหงายโดยชันหัวเข่าขึ้นและแยกขาออก
4. สอดยาเข้าช่องคลอดให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้นิ้วช่วยดันยาเข้าไป
5. นอนในท่าเดิมสักครู่ ไม่ต่ำกว่า 15 นาที
ข. วิธีสอดยาเหน็บช่องคลอดโดยใช้เครื่องมือช่วยสอด
ข้อแนะนำวิธีการใช้
1. ล้างมือให้สะอาด
2. แกะยาออกจากกระดาษห่อ แล้วจุ่มเม็ดยาในน้ำสะอาดพอให้ยาชื้น (ประมาณ 1-2 วินาที)
3. ใส่เม็ดยาในเครื่องมือช่วยสอด โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ดึงก้านสูบของเครื่องมือออกมาจนสุด
- ใส่ยาในช่องใส่ยาที่ปลายของเครื่องมือ เม็ดยาจะติดที่ช่องใส่ยา
4. นอนหงาย โดยชันหัวเข่าขึ้นและแยกขาออก
5. สอดยาเข้าในช่องคลอด โดยมีขั้นตอน ดังนี้
- จับตัวเครื่องมือสอดยาที่ใส่ยาแล้วด้วยนิ้วหัวแม่มือและนิ้วกลาง ส่วนนิ้วชี้ให้แตะอยู่ที่ปลายก้านสูบ
- หันปลายที่มียาเข้าไปในช่องคลอด ค่อยๆ สอดเครื่องมือเข้าไปเบาๆ เมื่อสอดเข้าไปลึกพอควรให้ใช้นิ้วชี้ดันก้านลูกสูบเพื่อไล่ตัวยาออกจาก เครื่องมือ โดยยาจะตกอยู่ในช่องคลอด
- เอาเครื่องมือออกจากช่องคลอด
6. นอนท่าเดิมสักครู่ ประมาณ 15 นาที เพื่อไม่ให้ยาไหลออกมาจากช่องคลอด
คำแนะนำเพิ่มเติม- ควรเหน็บยาติดต่อกันทุกวันอย่างน้อยตามจำนวนวันหรือขนาดยาที่กำหนด เช่น 5 - 7 วัน หรือ ขึ้นกับชนิดของยาและตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
- เมื่อสอดยาเหน็บแล้วควรนอนท่าเดิมนิ่งๆ จนกว่ายาจะละลายหมด ปกติมักจะเหน็บก่อนนอน
- ควรใช้กระดาษชำระซ้อนทบกันหลายๆ ชั้นรองที่กางเกงในไว้ เพื่อรองรับส่วนของเม็ดยาที่จะละลายไหลออกมา
Cr: เรียบเรียงจากบทความของนักศึกษาเภสัชฯฝึกงานชั้นปีที่ 5 น.ส.ภ.ธนัญญา พิรกิตติวรกุล