หมวดหมู่: <span>สาระน่ารู้</span>

ริดสีดวงทวาร อาการกับการรักษา

ริดสีดวงทวาร
ริดสีดวงทวารเป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบ บวม ของหลอดเลือดดำในช่องทวารหนักบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายที่ติดอยู่กับทวารหนัก เมื่อผนังหลอดเลือดยืดตัวจนกลายเป็นก้อนโป่งนูนคล้ายติ่งเนื้อปูดพองออกมาเป็นหัว เราเรียกว่าหัวริดสีดวง ซึ่งอาจพบหลายหัวได้ทั้งภายนอกปากทวาร (ริดสีดวงภายนอก)และอยู่ลึกเข้าไปในปากทวารหนัก (ริดสีดวงภายใน)

สาเหตุของโรค
เนื่องจากหลอดเลือดดำที่อยู่ใต้เยื่อเมือกและผิวหนังบริเวณส่วนต่อลำไส้ใหญ่และทวารหนักมีการยืดตัวจนถึงปูดพองเป็นหัวจากภาวะความดันในหลอดเลือดดำสูงจากสาเหตุต่างๆ อาทิ การกินอาหารที่มีกากใยน้อย, ท้องผูกบ่อย, การเบ่งถ่ายอุจจาระจนเป็นนิสัย, การกดทับจากการนั่งนานๆ, มีน้ำหนักตัวมาก หรือจากภาวะตั้งครรภ์, การไอเรื้อรัง เป็นต้น ดังนั้นริดสีดวงทวารจึงมีโอกาสเกิดขึ้นได้หลายแห่ง อาการและความรุนแรงจึงต่างกัน

อาการของโรคและบริเวณที่เกิดอาการ
โรคริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ขึ้นอยู่กับบริเวณที่พบสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายในและภายนอก เป็นโรคที่พบได้บ่อย เป็นๆหายๆ และสามารถกลับเป็นได้อีกเมื่อมีอาการท้องผูกเรื้อรัง หรือกรณีตั้งครรภ์
ริดสีดวงทวารภายใน จะเกิดขึ้นภายในทวารหนัก บริเวณรอยต่อระหว่างลำไส้ตรงกับทวารหนักส่วนบน (Dentate Line) มักจะมองไม่เห็น และไม่รู้สึกเจ็บ หากมีอาการเจ็บซึ่งบางรายมีโอกาสเป็นได้ทั้งภายในและภายนอกในเวลาเดียวกัน
หากมีอาการ คัน ปวดบริเวณทวารหนัก กลั้นอุจจาระไม่อยู่ หรือมีเลือดพุ่งขณะเบ่ง หรือเลือดหยดขณะถ่าย หรือปนมากับอุจจาระ แต่ไม่มีอาการปวดแสบรูทวาร อาจเป็นอาการของโรคริดสีดวงทวารภายในระยะแรก หากมีก้อนเนื้อปลิ้นออกมาขณะเบ่งถ่าย หรือหลุดออกมาข้างนอกและจะปวดรุนแรงทำให้นั่งหรือยืนก็เจ็บ เมื่อพบอาการเช่นนี้ควรรีบไปพบแพทย์

การตรวจวินิจฉัยโรคริดสีดวงภายใน
จำเป็นที่แพทย์จะตรวจและวินิจฉัยอย่างละเอียดด้วยการใช้กล้องส่องทวารหนัก รวมถึงการตรวจดูปากทวารและบริเวณใกล้เคียงด้วยตาเปล่าและการใช้นิ้วสอด เพื่อให้แน่ใจว่าอาการเลือดออกนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดปรกติ หรืออาการคล้ายคลึงจากโรคอื่นๆ เช่น โรคลำไส้อักเสบ โลหิตจาง ความผิดปรกติของหลอดเลือดในลำไส้ตรง หรือแม้กระทั่งโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น ซึ่งแพทย์อาจต้องตรวจระบบลำไส้ใหญ่ทั้งหมดหากผู้ป่วยมีอาการสุ่มเสี่ยงเกินกว่าการเป็นโรคริดสีดวง โดยเฉพาะผู้ป่วยมี่มีอายุ 40 ขึ้นไป

โรคริดสีดวงทวารภายในแบ่งระยะที่เป็นมี 4 ระยะด้วยกัน
ระยะที่ 1 มีริดสีดวงขนาดเล็กอยู่บริเวณช่องทวารหนักเท่านั้น ระยะนี้จะมองไม่เห็นและไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ
ระยะที่ 2 ริดสีดวงเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม เมื่อมีการเบ่งหรือถ่ายอุจจาระติ่งเนื้อจะยื่นออกมา และหดกลับเข้าไปด้านในเอง
ระยะที่ 3 มีติ่งเนื้อหรือหัวปลิ้นออกมาจากทวารหนักขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ สามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปได้
ระยะที่ 4 เป็นก้อนริดสีดวงขนาดใหญ่ที่ยื่นออกมาจากทวารหนักอย่างถาวร และไม่สามารถดันกลับเข้าไปด้านใน

ริดสีดวงทวารภายนอก เมื่อมีการไหลคั่งของหลอดเลือดดำจนแข็งตัวกลายเป็นลิ่มเลือด จนเกิดเป็นตุ่มนูนภายนอกบริเวณปากทวารหนัก เมื่อเอามือคลำหรือส่องดูจะพบก้อนเนื้อปูดออกมาเป็นหัว เมื่อเป็นมากสามารถเกิดขึ้นหลายๆหัวบริเวณเดียวกันได้ หรือกระจายไปหลายๆที่รอบๆปากทวารหนัก ถ้าเป็นติ่งเนื้อยื่นออกมาแล้วดันกลับเข้าไปได้จะถือว่าเป็นริดสีดวงทวารภายใน
โรคริดสีดวงทวารภายนอก เมื่อเริ่มเป็นจะรู้สึกได้จากอาการเบ่งขณะถ่าย หรือเจ็บ คันเวลานั่งนานๆ เนื่องจากเส้นเลือดดำบริเวณเยื่อบุทวารหนักจะไวต่อการเจ็บปวด คอยสังเกตเมื่อถ่ายหากมีอุจจาระแข็ง ต้องเบ่งแรงเป็นเวลานาน และมีอาการท้องผูกบ่อยๆ การเบ่งแรงๆอาจทำให้เยื่อเมือกปากทวารฉีกขาดและริดสีดวงแตกได้ อย่ารอให้หัวริดสีดวงแตกแล้วถึงไปพบแพทย์ สังเกตอาการแต่เนิ่นๆจากการขับถ่ายทุกวัน
โรคริดสีดวงทวาร สามารถเป็นแล้วหาย และกลับมาเป็นซ้ำได้อีก หากผู้ป่วยไม่ปรับพฤติกรรมการกินและการขับถ่าย

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคริดสีดวงทวาร
– การใช้ Ice Pack แบบเจลประคบเย็นจะช่วยบรรเทาอาการอักเสบบวมของติ่งเนื้อ
– การนั่งแช่น้ำอุ่น หรือที่เรียกว่า Sitz Bath (40 C) ในอ่างประมาณ 10-15 นาที วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดอาการปวด บวมของแผลได้ดีโดยเฉพาะหลังเบ่งถ่ายอุจจาระ
– การรับประทานยาแก้ปวด เป็นการบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ก่อให้เกิดความรำคาญหรือระคายเคืองเท่านั้น ยาแก้ปวดไม่สามารถรักษานิดสีดวงทวารให้หายได้
– การใช้ Petroleum Jelly เพียงเล็กน้อยบริเวณรอบในปากทวาร จะช่วยลดอาการเจ็บขณะถ่ายได้ ไม่ควรเบ่งอุจจาระแรง
– การใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของ Hydrocortisone เพื่อบรรเทาอาการปวดและคันบริเวณติ่งที่ยื่นออกมาข้างนอก ใช้ทาก่อนขับอุจจาระ สามารถหาซื้อตามร้านขายยา  ทั่วไปเพื่อบรรเทาอาการเบื้องต้นได้ อาการจะหายไปภายในสัปดาห์ เมื่อไม่หายควรรีบพบแพทย์
– การใช้ยาเหน็บทวาร โดยเหน็บวันละ 2 ครั้ง (เช้า, ก่อนนอน ควรใช้หลังถ่ายอุจจาระ)
– การดูแลตนเองที่บ้านด้วยการปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต
หากอาการที่เป็นดังกล่าวไม่บรรเทาลง แต่กลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ควรรีบไปพบแพทย์ซึ่งการรักษาอาจมีตั้งแต่…

– การใช้ยางรัดเพื่อห้ามเลือดไม่ให้เข้าไปหล่อเลี้ยงบริเวณนั้น 5-7 วันจนฝ่อและหลุดออก (พบแพทย์)
– การฉีดยาให้หัวริดสีดวงฝ่อ และหลุดไป ซึ่งต้องใช้การฉีดซ้ำ วิธีนี้จะสะดวก และปลอดภัย แต่มีโอกาสกลับมากำเริบใหม่ได้
– การใช้ไฟฟ้าจี้ หรือแสงเลเซอร์ยิงผ่าตัดเป็นการทำลายเนื้อเยื่อที่ได้ผลเร็วและดี
– การรักษาด้วยการผ่าตัดเอาริดสีดวงออก จะใช้ต่อเมื่อผู้ป่วยมีอาการรุนแรงหรือมีภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเป็นส่วนน้อยมาก

การป้องกันการเกิดโรคซ้ำ
โรคริดสีดวงทวารมีโอกาสเกิดได้กับทุกคน แต่จะพบมากในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป เนื่องจากระบบการย่อยและการขับถ่ายที่ไม่เป็นปรกติ โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรง สามารถหายได้ และกลับมาเป็นใหม่ได้อีก
หากดูแลรักษาสุขภาพให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปรกติ จะสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนที่ตามมาจากปัญหาการย่อยและการขับถ่ายได้ อาทิ โรคโลหิตจาง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรค IBS (Irritable Bowel Syndrome)
• หลีกเลี่ยงอาการท้องผูก โดยการรับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายเคืองทางเดินอาหาร เช่น ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว
• ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลา อย่านั่งถ่ายนานจนเป็นนิสัย หรือเบ่งอุจจาระแรงๆ ไม่ควรกลั้นอุจจาระ เพราะจะทำให้ลำไส้หมักหมม อุจจาระจะยิ่งแข็ง ขับถ่ายได้ยากขึ้น
• หากยังถ่ายไม่ออก ให้รับประทานยาระบายช่วย หรือสวนล้างลำไส้
• พยายามออกกำลังกายหรือนวดบริเวณช่องท้องอยู่เสมอ เพื่อกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น

การรักษาด้วยยาทาและยาเหน็บ
ดูปร๊อค (DOPROCT) เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร และบรรเทาอาการปวดที่ทวารหนัก ช่วยลดระคายเคือง ลดคัน 
ชนิดเหน็บทวาร (Doproct suppository)

ยาเหน็บ 1 แท่ง ประกอบด้วย

Hydrocortisone Acetate 7.5 mg ใช้ในการบรรเทาอาการอักเสบ ลดคัน
Zinc Oxide                    250.0 mg  เป็นยาสมานแผล ลดอาการระคายเคือง
Benzocaine                    40.0 mg  เป็นตัวยาชาเฉพาะที่ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด

วิธีการใช้ยาเหน็บ  

1.นอนตะแคงแล้วพับเข่าด้านบนไปที่หน้าอก ส่วนขาด้านล่างเหยียดตรง

2. ผ่อนคลาย ไม่เกร็งกล้ามเนื้อก้น เพื่อให้ง่ายต่อการสอดยาเหน็บทวาร

3. นำปลายแหลมค่อยๆสอดทวารหนัก ค่อยๆดันเม็ดยาเข้าไปให้พ้นหูรูดทวารหนัก ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้

4.นอนท่าเดิม โดยปิดช่องทวารหนักไว้ ประมาณ 15 นาที ไม่ลุกไปไหน เนื่องจากเม็ดยาจะหลุดออกมาได้ หากเหน็บยาให้เด็ก ควรใช้มือบีบแก้มก้นเอาไว้ ป้องกันเม็ดยาหลุด

5.ล้างมือให้สะอาด

ชนิดทาภายนอก (Doproct ointment)

ยาขี้ผึ้ง 1 กรัม ประกอบด้วย:

Hydrocortisone Acetate 5 mg ใช้ในการบรรเทาอาการอักเสบ ลดคัน
Zinc Oxide                    200 mg  เป็นยาสมานแผล ลดอาการระคายเคือง
Benzocaine                    10 mg  เป็นตัวยาชาเฉพาะที่ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด

ข้อแนะนำ  ยาเหน็บควรใช้ร่วมกับยาทาจะให้ผลดีมาก
ทำความสะอาดบริเวณที่เป็น

ภายใน: ใช้ยาเหน็บทวารหนัก วันละ 1 – 2 ครั้ง

ภายนอก: ทาบริเวณที่เป็น ทาซ้ำบ่อยๆต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือนหัวริดสีดวงจะค่อยๆตายและฝ่อไปเอง

ย่างเข้า 50…ริดสีดวงทวารถามหา?!?

...แม้สถิติจะพบว่าเมื่อคนเราย่างเข้าสู่วัย 50 โอกาสที่ริดสีดวงทวารจะเข้ามาตีสนิทกับชีวิตและสุขภาพจะมีมากขึ้น

ในชีวิตประจำวันคุณมีอาการแบบนี้บ้างหรือเปล่า?

___ ท้องผูกเป็นประจำ ต้องเบ่งแรงๆเวลาถ่าย

___ ท้องร่วงเรื้อรัง

___ ปวดบริเวณทวารหนัก หรือมีเลือดออกขณะถ่าย

         นอกจากนี้โรคอ้วนก็ยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นริดสีดวงทวารได้   อายุที่เพิ่มมากขึ้นโอกาสของเนื้อเยื่อที่รองรับเส้นเลือดบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายไปจนถึงหูรูดบริเวณทวารหนักอาจเสื่อมตัว ทำให้เลือดมาคั่งจากแรงดันของการเบ่งทำให้ปวด บวมและนูนได้

          แต่อย่าเพิ่งรีบเสียขวัญ เพราะถ้าเรารู้ตัวก่อน ย่อมสามารถป้องกัน หรืออย่างน้อยก็รู้วิธีรับมือได้อย่างไม่มีอะไรต้องวิตก

เรื่องแรกที่ควรรู้...คือรู้วิธีป้องกันเบื้องต้นด้วยการเอาใจใส่กับอาหารการกิน  และพฤติกรรมประจำวันของตัวเอง เช่น หมั่นกินอาหารกากใยสูง ดื่มน้ำให้มาก ขยันออกกำลังกาย ฝึกขับถ่ายเป็นเวลา ไม่นั่งเบ่งนาน เป็นต้น

อาการของโรคริดสีดวง หากเราดูแลตนเองแต่เนิ่นๆ แช่น้ำอุ่นเป็นประจำควบคู่กับการใช้ยาทาหรือรับประทานยาแก้ปวดมักดีขึ้นได้เองไม่ต้องรักษา

หากมีอาการรุนแรง ปวดมากจนทนไม่ไหว หน้ามืด หรือมีเลือดออกร่วมด้วย ถ้าไม่แน่ใจ ควรไปตรวจเช็คให้รู้ผลชัดเจน ….อย่ามัวขวยเขินสะเทิ้นอายไม่ยอมไปพบคุณหมอ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาการอาจบานปลาย ต้องเจ็บเพิ่ม ค่าใช้จ่ายก็เพิ่ม ….หรืออาจเป็นอะไรที่หนักหนากว่าริดสีดวงทวาร

สำหรับผู้ที่เคยเป็นแล้ว ถ้าอายุเข้าหลัก 5 ก็ไม่ควรชะล่าใจ แนะนำว่ายังไงก็ควรไปตรวจ เพราะริดสีดวงทวารมีโอกาสเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นริดสีดวงชนิดเรื้อรัง หรืออาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นได้

...ทางที่ดีวิธีที่เซฟ ควรไปพบและรับคำปรึกษาโดยตรงจากคุณหมอดีที่สุด!

Doproct Ointment

Doproct Suppository

เจ็บที่หัว ลดที่บวม ผ่อนหนักให้เป็นเบา บรรเทาอาการด้วยตัวเอง

ริดสีดวงทวารมี 2 ประเภท คือ “ริดสีดวงทวารภายนอก” (External Hemorrhoids) สามารถมองเห็นหัวริดสีดวงได้จากภายนอก และ “ริดสีดวงทวารภายใน” (Internal Hemorrhoids) ตรวจพบได้ด้วยการใช้กล้องส่อง แม้จะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่การรักษาแทบไม่แตกต่างกัน

ซึ่งการรักษาเบื้องต้น ผู้เป็นริดสีดวงทวารส่วนใหญ่ มักใช้การทาครีม หรือใช้ยาเหน็บ แต่รู้ไหมว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่วงการแพทย์แนะนำ คือวิธีที่เรียกว่า “Sitz Bath การนั่งแช่น้ำ”  โดยเฉพาะการนั่งแช่น้ำอุ่น (Hot Sitz Bath) เพราะช่วยลดการเจ็บปวดบริเวณทวารหนักได้ดี  โดยแช่นานครั้งละ 30 – 60 นาที อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือหลังถ่ายอุจจาระ ที่สำคัญวิธีนี้ยังช่วยเร่งให้หัวริดสีดวงยุบ และช่วยลดการอักเสบอีกด้วย

ก่อนจะไปถึงคำตอบสุดท้ายของการรักษาริดสีดวงทวาร ถึงขั้นผ่าตัด การเลือกทาครีมหรือยาเหน็บที่มีคุณภาพ รวมถึงวิธี Sitz Bath ดูจะเป็นหนทางเยียวยาบรรเทาอาการริดสีดวงทวารที่น่าสนใจ ไม่ยุ่งยาก แบบที่คุณสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ด้วยตัวเอง

Doproct Ointment

Doproct Suppository

เช็คอาการก่อน อย่าชะล่าใจ! ริดสีดวงทวาร หรือ มะเร็งลำไส้?

ถ้าจะเรียกว่า “ฝาแฝดทางอาการ” ก็คงไม่เกินเลยไปนัก สำหรับอาการที่ปรากฏในผู้เป็นริดสีดวงทวาร และผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ฝดยังไง ลองไปเช็คอาการกันพอสังเขป

( ) ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียบ่อย คล้ายกัน            

( ) รู้สึกถ่ายไม่สุด คล้ายกัน

( ) บริเวณทวารหนักเกิดติ่งเนื้อขึ้น คล้ายกัน

( ) เจ็บหรือคันผิดปกติบริเวณทวารหนัก คล้ายกัน

( ) ถ่ายอุจจาระปนเลือด คล้ายกัน

( ) พบมากในผู้สูงอายุ คล้ายกัน

บ่อยครั้งที่พบว่าริดสีดวงทวารมีอาการเกี่ยวพันกับโรคในช่องท้อง ตั้งแต่ ต่อมลูกหมากโต ลำไส้แปรปรวน ลำไส้ใหญ่อักเสบ ไปจนถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อหลายอาการของริดสีดวงทวารหนักคลับคล้ายและใกล้เคียงกับอาการมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะเริ่มต้น

จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ โลกสวยว่าคงไม่มีอะไร แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจเช็คให้ชัวร์ เพราะถ้าเป็นริดสีดวงระยะเริ่มต้น จะได้ถือโอกาสแก้ไขก่อนอาการไปกันใหญ่ หรือถ้าเป็นมะเร็งลำไส้ ก็จะได้รีบรักษาให้หายก่อนลุกลามไปขั้นต่อไป ฉะนั้นไม่ว่ายังไง ถ้ามีอาการแนวๆ นี้ เกิดที่แถวๆ นั้น ไปหาคุณหมอดีกว่าจะได้ดูแลรักษาได้ถูกทาง

Doproct Ointment

Doproct Suppository

ถ่ายเป็นเลือด ปวดมาก ทำไงดี!?!?

สำหรับคนที่เป็นริดสีดวง ในบางคนการขับถ่ายอาจจะมีเลือดปนออกมา มาก แต่ในบางคนอาจจะ น้อย”
วิธีช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้น คือ
หากาละมังกว้างๆที่สามารถนั่งลงไปแช่ได้ พร้อมใส่ด่างทับทิม หรือ น้ำอุ่นๆ 1-2 ลิตร จะช่วยสมานแผล และป้องกันการอักเสบได้
ถ้าปวดมากให้บรรเทาอาการโดนทานยา พาราเซตามอล 500MG 1 เม็ด ซ้ำได้ทุก 4-6 ชม. หรือใช้ยาเหน็บที่มีส่วนผสมของ BENZOCAINE , HYDROCORTISONE ACETATE , ZINC OXIDE เพื่อรักษาอาการอักเสบของหัวริดสีดวงที่ปริแตก และบรรเทาอาการปวดก่อนเบ่งถ่ายอุจจาระ
ใช้สำลีปิดบริเวณที่เป็นริดสีดวงหนาๆ หรือ สามารถใช้ผ้าอนามัยแบบกลางคืน เพื่อซับเลือดที่ออกมาได้
หากเลือดออกไม่หยุด หรือ ตลอดเวลา อย่าได้นิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

Doproct Ointment

Doproct Suppository

อาการตกขาว และยารักษาอาการตกขาว

ทำความรู้จักอาการตกขาว และวิธีการรักษาตกขาว

ตกขาวเป็นปัญหาที่พบบ่อยในสตรี หมายถึงภาวะที่มีของเหลวออกมาทางช่องคลอด อาจก่อความรำคาญ รู้สึกเหนอะหนะ และอาจมีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น คันช่องคลอด ระคายเคือง แสบขัดเวลาปัสสาวะ เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกทางช่องคลอด (ปริมาณไม่มาก) อาจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย ทำให้กังวลว่าต้องรีบรับการรักษาหรือไม่

แท้จริงแล้ว ตกขาวหรือระดูขาว มีทั้งที่ปกติและผิดปกติ ตกขาวปกติมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก ไม่มีกลิ่น ส่วนตกขาวที่ผิดปกติอาจมีลักษณะต่างกันไปตามสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ฉะนั้นเมื่อมีตกขาวต้องพิจารณาก่อนว่าเป็นตกขาวปกติหรือผิดปกติ

ตกขาวปกติ

ผนังด้านในช่องคลอดบุด้วยเซลล์ชนิดเยื่อเมือกคล้ายเซลเยื่อเมือกที่บุในช่องปากและจมูก เซลล์นี้สร้างน้ำเมือกซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้งละลายน้ำ ปกติไม่มีกลิ่น หรืออาจมีกลิ่นคาวเล็กน้อย น้ำเมือกนี้ช่วยหล่อลื่นช่องคลอด ช่วยขับสิ่งแปลกปลอม ฆ่าเชื้อโรค และปรับสภาพความเป็นกรดด่างในช่องคลอดให้สมดุล ในแต่ละรอบประจำเดือนมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสภาพและปริมาณของน้ำเมือกในช่องคลอด ในช่วงกลางของรอบเดือน (ราววันที่ 14 ของรอบเดือน) เป็นช่วงใกล้เวลาไข่ตก น้ำเมือกในช่องคลอดจะเหลวใส และมีปริมาณมาก ส่วนช่วงอื่นน้ำเมือกจะข้น ขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำเมือกในช่องคลอดมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นกับแต่ละคน บางคนไม่รู้สึกว่ามีน้ำเมือกออกมาจากช่องคลอด (ตกขาว) บางคนอาจรู้สึกว่ามีตกขาวในช่วง กลางรอบประจำเดือน หรือรู้สึกว่าทำไมตกขาวใสๆ จึงเปลี่ยนเป็นข้นขึ้น เลยเข้าใจว่าเกิดความผิดปกติ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นปกติ สิ่งที่พึงสังเกตคือ ตกขาวแบบปกติมักไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แสบหรือคันช่องคลอด และมักหายได้เองโดยไม่ต้องให้การรักษาใดๆ ผู้หญิงทุกคนมีตกขาวเป็นเรื่องปกติ ช่วงเด็กอาจมีเพียงเล็กน้อย เมื่อถึงช่วงเริ่มมีประจำเดือน ตกขาวจะมากขึ้นและมีปริมาณที่พอเหมาะจนถึงวัยสูงอายุ จากนั้นปริมาณลดลงจนแทบไม่มี บางช่วงอาจมีตกขาวมากกว่าปกติ เช่น ขณะตั้งครรภ์ เวลาที่มีการกระตุ้นทางเพศ หลังจากมีกิจกรรมทางเพศ หรือเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด เป็นต้น

ตกขาวผิดปกติ

หากมีน้ำเมือกออกมาทางช่องคลอดปริมาณมากผิดปกติร่วมกับมีอาการคัน หรือปวดแสบปวดร้อน มีกลิ่นเหม็น และมีอาการเป็นอยู่นาน ไม่หายไปเอง เหล่านี้คืออาการของตกขาวที่ผิดปกติ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีการอักเสบติดเชื้อในช่องคลอด เรียกว่า “ช่องคลอดอักเสบ” สาเหตุรองลงมาได้แก่ เนื้องอก หากเกิดจากเนื้องอก มักมีเลือดปนในตกขาวด้วย ตกขาวผิดปกติยังอาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น ผ้าอนามัยชนิดสอดช่องคลอด หรือถุงยางคุมกำเนิด เป็นต้น

การอักเสบติดเชื้อในช่องคลอด อาจเกิดได้จากเชื้อหลายประเภท ทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อปรสิต กรณีติดเชื้อรามักมีตกขาวลักษณะคล้ายนม หรือยางมะละกอ บางครั้งเป็นก้อน มักมีอาการคันมาก ร่วมกับมีผื่นคัน แดงหรือบวมที่บริเวณปากช่องคลอด เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ เชื้อราที่เป็นสาเหตุสำคัญคือ Candida albicans เป็นเชื้อราที่ชอบสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้นแบบในช่องคลอด การใส่เสื้อผ้าที่คับมาก สภาพร่างกายที่อ้วนมาก ทำให้ช่องคลอดอับชื้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อชนิดนี้เจริญเติบโตดี นอกจากนี้ ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อรายังอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาสเตียรอยด์ โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ การตั้งครรภ์หรือใช้ยาคุมกำเนิด หรือวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น อย่างไรก็ดี ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อราอาจไม่มีอาการแสดงอะไรเลยก็ได้

ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียอาจเกิดขึ้นเอง หรือติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ มักเกิดในหญิงที่ใช้ห่วงคุมกำเนิด ความผิดปกติเกิดจากการมีแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเจริญเติบโตมากกว่าปกติ ทำให้แบคทีเรียชนิดที่มีประโชยน์ต่อร่างกาย คือ lactobacilli ในช่องคลอดมีจำนวนลดลง ตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรียมักมีสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง อาจมีกลิ่นคาวปลา รวมทั้งอาจมีอาการคัน แสบร้อนช่องคลอด ร่วมด้วย

ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีการติดเชื้อนี้อยู่ ตกขาวมักมีสีเหลือง เป็นฟอง และมีกลิ่นเปรี้ยว ความผิดปกติในช่องคลอดยังอาจเกิดได้จากเหตุอื่นนอกจากการติดเชื้อ เช่น การฉีดล้างช่องคลอด การใช้สบู่หอม การใช้สารฆ่าอสุจิ อาจทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองช่องคลอด การลดลงของฮอร์โมนเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนจะทำให้เยื่อบุช่องคลอดบางลง ก็ทำให้ช่องคลอดเกิดอาการคันและแสบร้อนได้เช่นกัน

การรักษาตกขาวผิดปกติ

ยาที่ใช้สำหรับช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ให้ได้ทั้งวิธีรับประทานหรือสอดเข้าช่องคลอด เช่น

  • Metronidazole 500 mg รับประทาน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
  • Clindamycin 300 mg รับประทาน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน

ยาที่ใช้สำหรับช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อรา โดยมากเป็นยาเหน็บ หรือ ยาทาช่องคลอด เช่น

  • Clotrimazole 1% cream ครั้งละ 5 กรัม สอดเข้าช่องคลอดโดยใช้ applicator วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 7--14 วัน
  • Clotrimazole 100 mg สอดช่องคลอด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 7 วัน
  • Clotrimazole 100 mg vaginal tablet สอดเข้าช่องคลอด วันละ 2 เม็ด ก่อนนอน เป็นเวลา 3 วัน
  • Clotrimazole 200 mg vaginal tablet สอดเข้าช่องคลอด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 3 วัน
  • Clotrimazole 500 mg vaginal tablet สอดเข้าช่องคลอด 1 เม็ดครั้งเดียว
  • Miconazole 100 mg vaginal suppository สอดช่องคลอด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 7 วัน

แหล่งอ้างอิง: https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/312/%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7..%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/

Gynecon vaginal tablets

Gynecon-T vaginal tablets

Fungicon cream

Fungicon vaginal tablets

ตกขาวผิดปกติ

Product :

Product :

ริดสีดวงทวารเป็นได้อย่างไร ?

ถึงไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แต่ริดสีดวงทวารก็สามารถสร้างความรำคาญ ไปถึงขั้นสร้างความเจ็บปวด รวดร้าวให้กับผู้เป็นได้ และบางครั้งยังส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ ทำให้ผู้เป็นออกอาการเสียเซลฟ์กันเลยทีเดียวโดยทั่วไป ริดสีดวงทวารเกิดจากสาเหตุหลักๆ จัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 5 สาเหตุ ดังนี้

  1. นิสัยการกิน เช่น ไม่กินผัก ผลไม้ , ชอบกินอาหารย่อยยาก กากใยน้อย , ดื่มน้ำน้อย  ทำให้มีโอกาสท้องผูกเรื้อรัง
  2. พฤติกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคย  เช่น ท้องผูกเป็นประจำ, หลายๆวันถ่ายที, ชอบเบ่งอุจจาระแรงๆ , นั่งเบ่งถ่ายนานๆ , ติดนิสัยใช้ตัวช่วยเช่น ยาระบาย ยาถ่าย , นอนดึกเป็นประจำ , ไม่ออกกำลังกาย หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  3. น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักตัวที่มาก ทำให้ให้แรงดันในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานสูงขึ้น  ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดคั่งที่ปากทวารหนัก    
  4. อายุ ริดสีดวงทวารหนักเป็นได้ในคนทุกวัย แต่มักพบมากในกลุ่มผู้มีอายุ 45-65 ปี ทั้งชายและหญิง
  5. เกิดร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ต่อมลูกหมากโต ตับแข็ง เนื้องอกในช่องท้อง ลำไส้แปรปรวน มะเร็งลำไส้ รวมถึงอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม

 

ได้รู้สาเหตุเบื้องต้นกันแล้ว ถ้าคุณไม่เป็นก็ขอแสดงความยินดี แต่ถ้าคุณกำลังเป็นอยู่ ก็ควรเริ่มจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่ส่อแววไปทางสนับสนุนริดสีดวง

ทวารให้อาการหนักข้อขึ้นและควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ถูกวิธีเพื่อผลดี

กับสุขภาพคุณต่อไป..

               “ ริดสีดวงเป็นแล้วหาย...รักษาได้ไม่ยากเลย ”

Doproct Ointment

Doproct Suppository

อาการติดเชื้อในช่องคลอด

ตกขาวติดเชื้อ

 

โรคติดเชื้อในช่องคลอด ที่พบบ่อยมากที่สุด คือ การติดเชื้อจากเชื้อราและแบคทีเรียในช่องคลอด

ซึ่งเชื้อโรคทั้งหลายนี้จะอาศัยอยู่ปรกติในปาก ระบบทางเดินอาหาร บนผิวหนังของคนเรา รวมถึงในช่องคลอดของผู้หญิงด้วย โดยไม่ทำให้เกิดโรคแต่อย่างใด แต่หากร่างกายมีภูมิความต้านทานโรคต่ำ หรือในผู้หญิงมีภาวะอับชื้นบริเวณช่องคลอดเป็นเวลานานจนทำให้เชื้อเหล่านี้ก่อตัวมากขึ้นจนก่อโรคอื่นๆเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องคลอดหรือบริเวณอวัยวะเพศได้

ผู้ติดเชื้อในช่องคลอดมีอาการอย่างไร?

โดยธรรมชาติของผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์มักจะมีมูกเหลวใสถึงขุ่นข้น หรือที่เรียกกันว่า “ตกขาว” ถูกขับออกมาจากช่องคลอดอย่างเป็นปรกติ ซึ่งไม่น่าเป็นห่วง  หากแต่อาการ “ตกขาว” ของผู้ติดเชื้อในช่องคลอดจะมีอาการคันบริเวณอวัยวะเพศและภายในช่องคลอด ตกขาวที่ผิดปรกติจะมีสีที่ขุ่นข้น ขาวขุ่นไปจนเขียวคล้ายหนองซึ่งจะมีกลิ่นตามมาคล้ายนมบูดหรือปลาเค็มในปริมาณที่มากกว่าปรกติ และจะมีอาการแสบเวลาถ่ายปัสสาวะและบวมแดงบริเวณอวัยวะเพศ     

 

การตรวจสอบตกขาวผิดปรกติด้วยตนเอง

ก่อนอื่นภาวะ”ตกขาวเรียกได้ว่าเป็นภาวะปรกติธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้กับเพศหญิงทุกคนตั้งแต่เริ่มมีประจำเดือน อาการใดที่บ่งบอกได้ว่าภาวะตกขาวที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาวะปรกติไปจนถึงอาการรุนแรงถึงขั้นติดเชื้อและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์

 

การตรวจสอบตกขาวผิดปกติด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องยาก หากพิจารณาจากสีและเนื้อสัมผัสของตกขาวผิดปรกติ สามารถบ่งบอกได้ในเบื้องต้นเกี่ยวกับที่มาของปัญหาตกขาวผิดปรกติได้ดังต่อไปนี้

 

ตกขาวกับการดูแลตนเอง