หมวดหมู่: <span>โรคภัยใกล้ตัว</span>

ย่างเข้า 50…ริดสีดวงทวารถามหา?!?

...แม้สถิติจะพบว่าเมื่อคนเราย่างเข้าสู่วัย 50 โอกาสที่ริดสีดวงทวารจะเข้ามาตีสนิทกับชีวิตและสุขภาพจะมีมากขึ้น

ในชีวิตประจำวันคุณมีอาการแบบนี้บ้างหรือเปล่า?

___ ท้องผูกเป็นประจำ ต้องเบ่งแรงๆเวลาถ่าย

___ ท้องร่วงเรื้อรัง

___ ปวดบริเวณทวารหนัก หรือมีเลือดออกขณะถ่าย

         นอกจากนี้โรคอ้วนก็ยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็นริดสีดวงทวารได้   อายุที่เพิ่มมากขึ้นโอกาสของเนื้อเยื่อที่รองรับเส้นเลือดบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายไปจนถึงหูรูดบริเวณทวารหนักอาจเสื่อมตัว ทำให้เลือดมาคั่งจากแรงดันของการเบ่งทำให้ปวด บวมและนูนได้

          แต่อย่าเพิ่งรีบเสียขวัญ เพราะถ้าเรารู้ตัวก่อน ย่อมสามารถป้องกัน หรืออย่างน้อยก็รู้วิธีรับมือได้อย่างไม่มีอะไรต้องวิตก

เรื่องแรกที่ควรรู้...คือรู้วิธีป้องกันเบื้องต้นด้วยการเอาใจใส่กับอาหารการกิน  และพฤติกรรมประจำวันของตัวเอง เช่น หมั่นกินอาหารกากใยสูง ดื่มน้ำให้มาก ขยันออกกำลังกาย ฝึกขับถ่ายเป็นเวลา ไม่นั่งเบ่งนาน เป็นต้น

อาการของโรคริดสีดวง หากเราดูแลตนเองแต่เนิ่นๆ แช่น้ำอุ่นเป็นประจำควบคู่กับการใช้ยาทาหรือรับประทานยาแก้ปวดมักดีขึ้นได้เองไม่ต้องรักษา

หากมีอาการรุนแรง ปวดมากจนทนไม่ไหว หน้ามืด หรือมีเลือดออกร่วมด้วย ถ้าไม่แน่ใจ ควรไปตรวจเช็คให้รู้ผลชัดเจน ….อย่ามัวขวยเขินสะเทิ้นอายไม่ยอมไปพบคุณหมอ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษา อาการอาจบานปลาย ต้องเจ็บเพิ่ม ค่าใช้จ่ายก็เพิ่ม ….หรืออาจเป็นอะไรที่หนักหนากว่าริดสีดวงทวาร

สำหรับผู้ที่เคยเป็นแล้ว ถ้าอายุเข้าหลัก 5 ก็ไม่ควรชะล่าใจ แนะนำว่ายังไงก็ควรไปตรวจ เพราะริดสีดวงทวารมีโอกาสเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะผู้ที่ท้องผูกเรื้อรัง ยิ่งมีโอกาสสูงที่จะเป็นริดสีดวงชนิดเรื้อรัง หรืออาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นได้

...ทางที่ดีวิธีที่เซฟ ควรไปพบและรับคำปรึกษาโดยตรงจากคุณหมอดีที่สุด!

Doproct Ointment

Doproct Suppository

เจ็บที่หัว ลดที่บวม ผ่อนหนักให้เป็นเบา บรรเทาอาการด้วยตัวเอง

ริดสีดวงทวารมี 2 ประเภท คือ “ริดสีดวงทวารภายนอก” (External Hemorrhoids) สามารถมองเห็นหัวริดสีดวงได้จากภายนอก และ “ริดสีดวงทวารภายใน” (Internal Hemorrhoids) ตรวจพบได้ด้วยการใช้กล้องส่อง แม้จะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่การรักษาแทบไม่แตกต่างกัน

ซึ่งการรักษาเบื้องต้น ผู้เป็นริดสีดวงทวารส่วนใหญ่ มักใช้การทาครีม หรือใช้ยาเหน็บ แต่รู้ไหมว่ายังมีอีกหนึ่งวิธีที่วงการแพทย์แนะนำ คือวิธีที่เรียกว่า “Sitz Bath การนั่งแช่น้ำ”  โดยเฉพาะการนั่งแช่น้ำอุ่น (Hot Sitz Bath) เพราะช่วยลดการเจ็บปวดบริเวณทวารหนักได้ดี  โดยแช่นานครั้งละ 30 – 60 นาที อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือหลังถ่ายอุจจาระ ที่สำคัญวิธีนี้ยังช่วยเร่งให้หัวริดสีดวงยุบ และช่วยลดการอักเสบอีกด้วย

ก่อนจะไปถึงคำตอบสุดท้ายของการรักษาริดสีดวงทวาร ถึงขั้นผ่าตัด การเลือกทาครีมหรือยาเหน็บที่มีคุณภาพ รวมถึงวิธี Sitz Bath ดูจะเป็นหนทางเยียวยาบรรเทาอาการริดสีดวงทวารที่น่าสนใจ ไม่ยุ่งยาก แบบที่คุณสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ด้วยตัวเอง

Doproct Ointment

Doproct Suppository

เช็คอาการก่อน อย่าชะล่าใจ! ริดสีดวงทวาร หรือ มะเร็งลำไส้?

ถ้าจะเรียกว่า “ฝาแฝดทางอาการ” ก็คงไม่เกินเลยไปนัก สำหรับอาการที่ปรากฏในผู้เป็นริดสีดวงทวาร และผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ ฝดยังไง ลองไปเช็คอาการกันพอสังเขป

( ) ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียบ่อย คล้ายกัน            

( ) รู้สึกถ่ายไม่สุด คล้ายกัน

( ) บริเวณทวารหนักเกิดติ่งเนื้อขึ้น คล้ายกัน

( ) เจ็บหรือคันผิดปกติบริเวณทวารหนัก คล้ายกัน

( ) ถ่ายอุจจาระปนเลือด คล้ายกัน

( ) พบมากในผู้สูงอายุ คล้ายกัน

บ่อยครั้งที่พบว่าริดสีดวงทวารมีอาการเกี่ยวพันกับโรคในช่องท้อง ตั้งแต่ ต่อมลูกหมากโต ลำไส้แปรปรวน ลำไส้ใหญ่อักเสบ ไปจนถึงมะเร็งลำไส้ใหญ่ ดังนั้น เมื่อหลายอาการของริดสีดวงทวารหนักคลับคล้ายและใกล้เคียงกับอาการมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะเริ่มต้น

จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ โลกสวยว่าคงไม่มีอะไร แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ตรวจเช็คให้ชัวร์ เพราะถ้าเป็นริดสีดวงระยะเริ่มต้น จะได้ถือโอกาสแก้ไขก่อนอาการไปกันใหญ่ หรือถ้าเป็นมะเร็งลำไส้ ก็จะได้รีบรักษาให้หายก่อนลุกลามไปขั้นต่อไป ฉะนั้นไม่ว่ายังไง ถ้ามีอาการแนวๆ นี้ เกิดที่แถวๆ นั้น ไปหาคุณหมอดีกว่าจะได้ดูแลรักษาได้ถูกทาง

Doproct Ointment

Doproct Suppository

ถ่ายเป็นเลือด ปวดมาก ทำไงดี!?!?

สำหรับคนที่เป็นริดสีดวง ในบางคนการขับถ่ายอาจจะมีเลือดปนออกมา มาก แต่ในบางคนอาจจะ น้อย”
วิธีช่วยบรรเทาอาการเบื้องต้น คือ
หากาละมังกว้างๆที่สามารถนั่งลงไปแช่ได้ พร้อมใส่ด่างทับทิม หรือ น้ำอุ่นๆ 1-2 ลิตร จะช่วยสมานแผล และป้องกันการอักเสบได้
ถ้าปวดมากให้บรรเทาอาการโดนทานยา พาราเซตามอล 500MG 1 เม็ด ซ้ำได้ทุก 4-6 ชม. หรือใช้ยาเหน็บที่มีส่วนผสมของ BENZOCAINE , HYDROCORTISONE ACETATE , ZINC OXIDE เพื่อรักษาอาการอักเสบของหัวริดสีดวงที่ปริแตก และบรรเทาอาการปวดก่อนเบ่งถ่ายอุจจาระ
ใช้สำลีปิดบริเวณที่เป็นริดสีดวงหนาๆ หรือ สามารถใช้ผ้าอนามัยแบบกลางคืน เพื่อซับเลือดที่ออกมาได้
หากเลือดออกไม่หยุด หรือ ตลอดเวลา อย่าได้นิ่งนอนใจ รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป

Doproct Ointment

Doproct Suppository

อาการตกขาว และยารักษาอาการตกขาว

ทำความรู้จักอาการตกขาว และวิธีการรักษาตกขาว

ตกขาวเป็นปัญหาที่พบบ่อยในสตรี หมายถึงภาวะที่มีของเหลวออกมาทางช่องคลอด อาจก่อความรำคาญ รู้สึกเหนอะหนะ และอาจมีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น คันช่องคลอด ระคายเคือง แสบขัดเวลาปัสสาวะ เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ มีเลือดออกทางช่องคลอด (ปริมาณไม่มาก) อาจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย ทำให้กังวลว่าต้องรีบรับการรักษาหรือไม่

แท้จริงแล้ว ตกขาวหรือระดูขาว มีทั้งที่ปกติและผิดปกติ ตกขาวปกติมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก ไม่มีกลิ่น ส่วนตกขาวที่ผิดปกติอาจมีลักษณะต่างกันไปตามสาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ฉะนั้นเมื่อมีตกขาวต้องพิจารณาก่อนว่าเป็นตกขาวปกติหรือผิดปกติ

ตกขาวปกติ

ผนังด้านในช่องคลอดบุด้วยเซลล์ชนิดเยื่อเมือกคล้ายเซลเยื่อเมือกที่บุในช่องปากและจมูก เซลล์นี้สร้างน้ำเมือกซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้งละลายน้ำ ปกติไม่มีกลิ่น หรืออาจมีกลิ่นคาวเล็กน้อย น้ำเมือกนี้ช่วยหล่อลื่นช่องคลอด ช่วยขับสิ่งแปลกปลอม ฆ่าเชื้อโรค และปรับสภาพความเป็นกรดด่างในช่องคลอดให้สมดุล ในแต่ละรอบประจำเดือนมีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อสภาพและปริมาณของน้ำเมือกในช่องคลอด ในช่วงกลางของรอบเดือน (ราววันที่ 14 ของรอบเดือน) เป็นช่วงใกล้เวลาไข่ตก น้ำเมือกในช่องคลอดจะเหลวใส และมีปริมาณมาก ส่วนช่วงอื่นน้ำเมือกจะข้น ขาวขุ่นคล้ายแป้งเปียก อย่างไรก็ดี ปริมาณน้ำเมือกในช่องคลอดมากหรือน้อยเพียงไรขึ้นกับแต่ละคน บางคนไม่รู้สึกว่ามีน้ำเมือกออกมาจากช่องคลอด (ตกขาว) บางคนอาจรู้สึกว่ามีตกขาวในช่วง กลางรอบประจำเดือน หรือรู้สึกว่าทำไมตกขาวใสๆ จึงเปลี่ยนเป็นข้นขึ้น เลยเข้าใจว่าเกิดความผิดปกติ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นปกติ สิ่งที่พึงสังเกตคือ ตกขาวแบบปกติมักไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แสบหรือคันช่องคลอด และมักหายได้เองโดยไม่ต้องให้การรักษาใดๆ ผู้หญิงทุกคนมีตกขาวเป็นเรื่องปกติ ช่วงเด็กอาจมีเพียงเล็กน้อย เมื่อถึงช่วงเริ่มมีประจำเดือน ตกขาวจะมากขึ้นและมีปริมาณที่พอเหมาะจนถึงวัยสูงอายุ จากนั้นปริมาณลดลงจนแทบไม่มี บางช่วงอาจมีตกขาวมากกว่าปกติ เช่น ขณะตั้งครรภ์ เวลาที่มีการกระตุ้นทางเพศ หลังจากมีกิจกรรมทางเพศ หรือเมื่อใช้ยาคุมกำเนิดบางชนิด เป็นต้น

ตกขาวผิดปกติ

หากมีน้ำเมือกออกมาทางช่องคลอดปริมาณมากผิดปกติร่วมกับมีอาการคัน หรือปวดแสบปวดร้อน มีกลิ่นเหม็น และมีอาการเป็นอยู่นาน ไม่หายไปเอง เหล่านี้คืออาการของตกขาวที่ผิดปกติ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีการอักเสบติดเชื้อในช่องคลอด เรียกว่า “ช่องคลอดอักเสบ” สาเหตุรองลงมาได้แก่ เนื้องอก หากเกิดจากเนื้องอก มักมีเลือดปนในตกขาวด้วย ตกขาวผิดปกติยังอาจเกิดจากสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น ผ้าอนามัยชนิดสอดช่องคลอด หรือถุงยางคุมกำเนิด เป็นต้น

การอักเสบติดเชื้อในช่องคลอด อาจเกิดได้จากเชื้อหลายประเภท ทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย เชื้อปรสิต กรณีติดเชื้อรามักมีตกขาวลักษณะคล้ายนม หรือยางมะละกอ บางครั้งเป็นก้อน มักมีอาการคันมาก ร่วมกับมีผื่นคัน แดงหรือบวมที่บริเวณปากช่องคลอด เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ เชื้อราที่เป็นสาเหตุสำคัญคือ Candida albicans เป็นเชื้อราที่ชอบสภาพแวดล้อมที่ร้อนชื้นแบบในช่องคลอด การใส่เสื้อผ้าที่คับมาก สภาพร่างกายที่อ้วนมาก ทำให้ช่องคลอดอับชื้นก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เชื้อชนิดนี้เจริญเติบโตดี นอกจากนี้ ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อรายังอาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือยาสเตียรอยด์ โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ การตั้งครรภ์หรือใช้ยาคุมกำเนิด หรือวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น อย่างไรก็ดี ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อราอาจไม่มีอาการแสดงอะไรเลยก็ได้

ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียอาจเกิดขึ้นเอง หรือติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ มักเกิดในหญิงที่ใช้ห่วงคุมกำเนิด ความผิดปกติเกิดจากการมีแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งเจริญเติบโตมากกว่าปกติ ทำให้แบคทีเรียชนิดที่มีประโชยน์ต่อร่างกาย คือ lactobacilli ในช่องคลอดมีจำนวนลดลง ตกขาวจากการติดเชื้อแบคทีเรียมักมีสีขาว สีเทา หรือสีเหลือง อาจมีกลิ่นคาวปลา รวมทั้งอาจมีอาการคัน แสบร้อนช่องคลอด ร่วมด้วย

ช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อปรสิต Trichomonas vaginalis ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีการติดเชื้อนี้อยู่ ตกขาวมักมีสีเหลือง เป็นฟอง และมีกลิ่นเปรี้ยว ความผิดปกติในช่องคลอดยังอาจเกิดได้จากเหตุอื่นนอกจากการติดเชื้อ เช่น การฉีดล้างช่องคลอด การใช้สบู่หอม การใช้สารฆ่าอสุจิ อาจทำให้เกิดการแพ้หรือระคายเคืองช่องคลอด การลดลงของฮอร์โมนเพศหญิงในวัยหมดประจำเดือนจะทำให้เยื่อบุช่องคลอดบางลง ก็ทำให้ช่องคลอดเกิดอาการคันและแสบร้อนได้เช่นกัน

การรักษาตกขาวผิดปกติ

ยาที่ใช้สำหรับช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ให้ได้ทั้งวิธีรับประทานหรือสอดเข้าช่องคลอด เช่น

  • Metronidazole 500 mg รับประทาน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน
  • Clindamycin 300 mg รับประทาน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 7 วัน

ยาที่ใช้สำหรับช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อรา โดยมากเป็นยาเหน็บ หรือ ยาทาช่องคลอด เช่น

  • Clotrimazole 1% cream ครั้งละ 5 กรัม สอดเข้าช่องคลอดโดยใช้ applicator วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 7--14 วัน
  • Clotrimazole 100 mg สอดช่องคลอด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 7 วัน
  • Clotrimazole 100 mg vaginal tablet สอดเข้าช่องคลอด วันละ 2 เม็ด ก่อนนอน เป็นเวลา 3 วัน
  • Clotrimazole 200 mg vaginal tablet สอดเข้าช่องคลอด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 3 วัน
  • Clotrimazole 500 mg vaginal tablet สอดเข้าช่องคลอด 1 เม็ดครั้งเดียว
  • Miconazole 100 mg vaginal suppository สอดช่องคลอด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 7 วัน

แหล่งอ้างอิง: https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/312/%E0%B8%95%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%A7..%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3/

Gynecon vaginal tablets

Gynecon-T vaginal tablets

Fungicon cream

Fungicon vaginal tablets

ริดสีดวงทวารเป็นได้อย่างไร ?

ถึงไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร แต่ริดสีดวงทวารก็สามารถสร้างความรำคาญ ไปถึงขั้นสร้างความเจ็บปวด รวดร้าวให้กับผู้เป็นได้ และบางครั้งยังส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพ ทำให้ผู้เป็นออกอาการเสียเซลฟ์กันเลยทีเดียวโดยทั่วไป ริดสีดวงทวารเกิดจากสาเหตุหลักๆ จัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 5 สาเหตุ ดังนี้

  1. นิสัยการกิน เช่น ไม่กินผัก ผลไม้ , ชอบกินอาหารย่อยยาก กากใยน้อย , ดื่มน้ำน้อย  ทำให้มีโอกาสท้องผูกเรื้อรัง
  2. พฤติกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่คุ้นเคย  เช่น ท้องผูกเป็นประจำ, หลายๆวันถ่ายที, ชอบเบ่งอุจจาระแรงๆ , นั่งเบ่งถ่ายนานๆ , ติดนิสัยใช้ตัวช่วยเช่น ยาระบาย ยาถ่าย , นอนดึกเป็นประจำ , ไม่ออกกำลังกาย หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก
  3. น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักตัวที่มาก ทำให้ให้แรงดันในช่องท้องและอุ้งเชิงกรานสูงขึ้น  ส่งผลให้เกิดภาวะเลือดคั่งที่ปากทวารหนัก    
  4. อายุ ริดสีดวงทวารหนักเป็นได้ในคนทุกวัย แต่มักพบมากในกลุ่มผู้มีอายุ 45-65 ปี ทั้งชายและหญิง
  5. เกิดร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ต่อมลูกหมากโต ตับแข็ง เนื้องอกในช่องท้อง ลำไส้แปรปรวน มะเร็งลำไส้ รวมถึงอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม

 

ได้รู้สาเหตุเบื้องต้นกันแล้ว ถ้าคุณไม่เป็นก็ขอแสดงความยินดี แต่ถ้าคุณกำลังเป็นอยู่ ก็ควรเริ่มจากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือกิจวัตรประจำวันที่ส่อแววไปทางสนับสนุนริดสีดวง

ทวารให้อาการหนักข้อขึ้นและควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ถูกวิธีเพื่อผลดี

กับสุขภาพคุณต่อไป..

               “ ริดสีดวงเป็นแล้วหาย...รักษาได้ไม่ยากเลย ”

Doproct Ointment

Doproct Suppository

วิธีการเก็บรักษายา..ทำอย่างไร ??

โดยทั่วไปแล้ว ควรเก็บไว้ในที่ไม่ชื้น  แสงแดดส่องไม่ถึง
– ยาเก็บในตู้เย็น ให้เก็บในตู้เย็นช่องธรรมดา (อุณหภูมิ 2 – 8 องศาเซลเซียส)
– ยาผสมน้ำสำหรับเด็ก ควรใช้ไม่เกิน 7 วัน หลังจากผสม และเก็บรักษาในตู้เย็น
หลังจากใช้เสร็จทุกครั้ง
– ยาหยอดตา และยาป้ายตา ใช้ได้ไม่เกิน 1 เดือนหลังเปิดใช้งาน
Cr. cyberspaceandtime , drugservonline